อาการ ในระบบกล้ามเนื้อสั่งการ (motor) ก่อนให้การรักษา ผู้ป่วยเดินมาได้มากกว่า 60%หลังผ่าตัดเดินกลับได้ ผู้ป่วยอ่อนแรงขาสองข้าง (Paraparesis) 35% หลังผ่าตัดเดินกลับได้ ผู้ป่วยอัมพาต ขาสองข้าง (Paraplegia) 0 -25%หลังผ่าตัดเดินกลับได้ ดังนั้นจึงควรรีบให้การวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรก 3. ระดับของไขสันหลังที่เสียหน้าที่ยิ่งเนื้องอกเกิดในระดับสูงเท่าใด โอกาสเสี่ยงต่อความพิการมีมากขึ้น
เนื้องอกในเยื่อบุไขสันหลัง (Intradural tumor) แบ่งย่อยอีกเป็น 2 แบบ 2. 1เนื้องอกเกิดนอกไขสันหลัง (Extramedullary tumor) ที่พบบ่อย คือ เนื้องอกของปลอกประสาทไขสันหลัง, meningioma 2. 2เนื้องอกเกิดในไขสันหลัง(Intramedullary tumor)ที่พบบ่อยคือ Astrocytoma, Ependymoma อาการแสดงทางคลีนิก (Clinical manifestation) 1. ปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากไขสันหลัง, รากประสาทถูกกด มักปวดตอนกลางคืน 2.
3. CA 15-3 เป็นสารที่ตรวจพบในมะเร็งเต้านม รังไข่ ลำใส้ใหญ่ ตับอ่อน ถุงน้ำดี CA 15-3 ใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังผ่าตัดเพื่อประเมินการกลับเป็นซ้ำ ก่อนที่จะแสดงอาการ 3. 4. CA 19-9 เป็นสารที่ตรวจพบในมะเร็งบางชนิด เช่น กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ทางเดินน้ำดี CA 19-9 จะสูงในมะเร็งตับอ่อน ทางเดินน้ำดีจึงนิยมใช้ในการตรวจวินิจฉัยโรค 3. 5. CA 125 เป็นสารที่ตรวจพบในเลือดและน้ำในช่องท้อง ค่าปกติ 35 u/ml จะสูงในมะเร็งตับอ่อนและอวัยวะสืบพันธุ์สตรี 3. 6. Alpha fetoprotein ( AFP) ค่าปกติ 2-16 ng/ml เป็นสารที่ตรวจพบในมะเร็งตับ 3. 7. prostate specifie ( PSA) ค่าปกติต่ำกว่า 4 ng/ml เป็นสารที่ตรวจพบในมะเร็งต่อมลูกหมาก 3. 8. pap smear เป็นการตรวจที่ช่วยในการวินิจฉัยได้ดีและทำได้ง่าย 3. 9. การตรวจชิ้นเนื้อ ( Biopsy) เป็นโดยการตัดเนื้อที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งออกมาตรวจ วิธีที่นิยมในปัจจุบันคือการตัดโดยใช้เข็มแทงผ่านผิวหนัง ( percutaneous needle biopsy) เนื่องจากรวดเร็ว ประหยัดและเนื้อเยื่อโดยรอบได้รับการกระทบกระเทือนน้อยสามารถทำได้ทั้งเนื้องอกที่อยู่ตื้น และก้อนเนื้อที่อยู่ลึกๆ 3. 10. การตรวจทางรังสี ( X-ray Examination) ได้แก่ การกลืนแบเรียม การสวนด้วย Barium มีประโยชน์มากในมะเร็งที่มีการอุดตันของระบบต่างๆ เช่น ทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น 3.
การวินิจฉัย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Supraclavicular node ตำแหน่ง อยู่บริเวณ supraclavicular fossa DDX 4 กลุ่ม Reactive hyperplasia Infections Granulomatous lymphadenopathy Metastatic disease and lymphama Lung, retroperitoneal, GI cancer DDX. ต่อมน้ำเหลืองบริเวณนี้มักมีความสัมพันธ์กับ malignancy ค่อนข้างสูง กว่าบริเวณอื่นๆ อายุมากกว่า 40 ปี พบ malignancy ประมาณ 90% อายุน้อยกว่า 40 ปี พบน้อยประมาณ 25% Acute มักเกิดจาก infection มากกว่า malignancy Infection มักมีอาการปวดร่วมด้วย ตำแหน่งที่รับ lymphatic drain ด้านซ้าย จะรับพื้นที่มากกว่า ด้านขวา Rt.
ถ้ามีการกดจากภายนอก จะทำให้ sacral fiber โดนกดก่อนและจะตามมาด้วย lumbar และตามมาด้วย thoracic และ cervical fiber เป็นอันดับสุดท้าย ดังนั้นผู้ป่วยจะมีอาการ ชาและหรืออ่อนแรงโดยเริ่มจากปลายเท้าก่อนแล้วค่อยๆ ascending ขึ้นมาที่เข่า ต้นขา เอว ท้อง ถ้าซักประวัติดีๆก็จะสามารถทำนายตำแหน่งได้ว่าเป็นการกดไขสันหลังที่ตำแหน่ง level ใหน และเป็นการกดจากภายนอกแสดงว่าเป็น epidural mass สำหรับ nature ก็ดูจาก ประวัติเป็นสำคัญ ( การกดจากภายนอกมักก่อให้เกิดอาการปวดเพราะบริเวณ dura นั้นมี pain receptor เป็นปริมาณมาก) 2.
ในผู้ป่วยที่ไขสันหลังเสียหน้าที่โดยสิ้นเชิง (complete cord lesion) และทราบชนิดของเนื้องอกที่แพร่กระจาย (metastasis) การรักษาเป็นเพียงทุเลาอาการ(Palliative treatment)เท่านั้น 2. การผ่าตัดรักษา 2. 1)ผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกออก (laminectomy, Corpectomy and removed tumor) ควรรีบทำในผู้ป่วยที่ไขสันหลังเสียหน้าที่เพียงบางส่วน เพื่อให้การฟื้นตัวของไขสันหลังได้ดีขึ้นและให้ทราบชนิดของเนื้องอก 2. 2)ผ่าตัดรักษากระดูกสันหลังเสียความมั่นคง(Spinal instability) ในรายที่เนื้องอกแพร่กระจายมาทำลายกระดูก(Vertebral body)ทำให้กระดูกสันหลังเสียความมั่นคงจำเป็นต้องผ่าตัดใส่อุปกรณ์ยึดกระดูกสันหลัง(ORIF) 3. การฉายรังสีรักษา ในมะเร็งที่แพร่กระจายมายังไขสันหลัง (metastasis tumor)และเป็นเนื้องอกที่ตอบสนองดีต่อการฉายรังสีรักษา 4. การให้เคมีบำบัด รักษาทั้งเนื้องอกแหล่งกำเนิด(Primary)และมะเร็งที่แพร่กระจายมายังไขสันหลัง(Metastasis tumor) และเนื้องอกที่ไม่ตอบสนองต่อการฉายรังสีรักษา 5. กายภาพบำบัด ฟื้นฟูผู้ป่วยให้สามารถช่วยตนเองได้มากที่สุด การพยากรณ์โรค (Prognosis) ขึ้นอยู่กับ 1. ชนิดของเนื้องอกเนื้องอกชนิดไม่ร้าย ซึ่งสามารถผ่าตัดออกได้หมด มีการพยากรณ์โรคดีกว่าเนื้องอกชนิดร้ายแรง (Metastasis) 2.
การซักประวัติ อาการที่นำผู้ป่วยมา รวมทั้งประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบันและในอดีต รวมทั้งการรักษา ประวัติการเป็นมะเร็งของบุคคลในครอบครัว อาชีพ ประวัติอื่นๆ เช่น สุรา บุหรี่ เป็นต้น การตรวจร่างกาย คลำพบก้อนโดยเฉพาะบริเวณที่เป็นมะเร็งรวมทั้งต่อมน้ำเหลือง บริเวณใกล้เคียง และการตรวจร่างกายทั่วๆไป การตรวจภายใน การตรวจทางทวารหนัก การใช้กล้องส่อง ตรวจโดยวิธีพิเศษ เช่น Gastroscope, Sigmoidoscope เป็นต้น การตรวจทางห้องปฏิบัติการและอื่นๆ รวมทั้งการตรวจโดยวิธีเซลล์วิทยา ( Cytology) เพื่อ สนับสนุนการวินิจฉัยมะเร็งปฐมภูมิ และค้นหามะเร็งทุติยภูมิ 3. 1 การตรวจเลือด การตรวจเลือดไม่สามารถวินิจฉัยที่มีความจำเพาะกับโรคมะเร็งได้แต่ การตรวจบางชนิดจะช่วยวินิจฉัยมะเร็งบางโรคได้ เช่น CBC ช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งเม็ดเลือดขาว Alkaline phosphatase ค่าที่สูงอาจแสดงว่ามีการแพร่กระจายไปที่ตับและกระดูก การตรวจหา Tumor marker เป็นสารที่สร้างขึ้นจากเซลล์มะเร็งแล้วปล่อย เข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งการตรวจวิธีนี้จะช่วยวินิจฉัยและติดตามผลการรักษา ซึ่งที่ใช้ในขณะนี้คือ 3. 2. Carcinoembryonic antigen ( CEA) ซึ่งค่าปกติ 2. 5-5 ng/ml ค่าที่สูงอาจแสดงว่ามีการแพร่กระจายหรือมีการกลับมาเป็นซ้ำ 3.